จากปริมาณและคุณภาพอ้อยที่สูงขึ้นส่งผลให้กลุ่ม KTIS มีรายได้เพิ่มจากหลายธุรกิจ ปิดปี 2560 ที่รายได้รวม 18,193.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,096.8 ล้านบาท หรือ 20.5% มีกำไรสุทธิ 645.5 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 225.9% ชี้ราคาน้ำตาลตลาดโลกทรงตัวระดับต่ำตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2560 ทำให้ ไตรมาส 4 แผ่วลงไปบ้าง
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปี 2560 (มกราคม – ธันวาคม 2560) มีรายได้รวม 18,193.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,096.8 ล้านบาท หรือ 20.5% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีรายได้รวม 15,096.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 645.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 225.9% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ขาดทุนสุทธิ 512.5 ล้านบาท
“การเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรสุทธิในปี 2560 เป็นผลมาจากปริมาณและคุณภาพอ้อยที่เข้าหีบในฤดูหีบปี 59/60 สูงขึ้น ทำให้ผลิตน้ำตาลได้ปริมาณมากขึ้น และวัตถุดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องมีผลผลิตที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง จากราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้นค่อนข้างมาก” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า หากดูแยกในแต่ละธุรกิจ พบว่า รายได้ของธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย เติบโตสูงสุดถึง 40.7% เนื่องจากปริมาณการขายเยื่อกระดาษเพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะลดลง รองลงมาเป็นธุรกิจน้ำตาล รายได้เพิ่มขึ้น 19% จากปริมาณที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจเอทานอล รายได้เพิ่มขึ้น 1.2% จากราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลมีรายได้ลดลง เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ประจำปี
สำหรับผลผลิตอ้อยของฤดูการผลิตปี 2560/2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำอ้อยเข้าหีบ หากมองในภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั้งประเทศ คาดว่าปริมาณผลผลิตอ้อยจะสูงกว่า 100 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่มีปริมาณผลผลิตอ้อยรวมประมาณ 93 ล้านตัน โดยกลุ่ม KTIS มีปริมาณอ้อยเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของทั้งประเทศ