ยูโอบี และเดอะ ฟินแล็บหนุน 15 เอสเอ็มอีไทย ทะยานสู่ความเป็นดิจิทัล

Google+ Pinterest LinkedIn Tumblr +

กรุงเทพ 29 สิงหาคม 2562 – ธนาคารยูโอบี (ไทย) แสดงผลงานการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ดิจิทัลของเอสเอ็มอีไทย 15 บริษัท จาก โครงการ Smart Business Transformation ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) และเดอะ ฟินแล็บ ภายใต้การสนับสนุนจากองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

ภายใต้การชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและต่างประเทศ เอสเอ็มอีผู้เข้าร่วมโครงการ ได้ทบทวนรูปแบบธุรกิจของตนเอง วิเคราะห์หาโอกาสเพื่อพัฒนาและกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลในระยะยาว รวมถึงประเมินและประยุกต์ใช้โซลูชั่นนำร่องที่เดอะ ฟินแล็บคัดสรรมาจากกว่า 350 แอพพลิเคชั่นเอสเอ็มอี ได้เลือกใช้โซลูชันเพื่อจัดการความท้าทายต่างๆ ที่ประสบปัญหาอยู่ เช่น วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อรู้ใจลูกค้ามากขึ้น การทำตลาดโดยใช้ดิจิทัลช่วยในการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพผ่านการปรับกระบวนการธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจที่ทางเดอะ ฟินแล็บได้จัดทำไปก่อนหน้านี้และพบว่า     เอสเอ็มอีในประเทศไทยระบุว่ากลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโต 2 อันดับแรก คือ การรุกตลาดใหม่ (ร้อยละ54)และการใช้การตลาดระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มยอดขาย (ร้อยละ51)

นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformation เป็นโครงการที่เรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะช่วยติดอาวุธและทักษะเอสเอ็มอีไทย ให้สามารถเติบโตได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และยังตระหนักถึงบทบาทหลักของธนาคารยูโอบี ที่จะต้องดำเนินการให้สอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยนำนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้พัฒนาธุรกิจและสร้างเครือข่ายในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ”

นายเฟลิกซ์ ตัน หัวหน้ากลุ่มงานร่วม เดอะ ฟินแล็บ กล่าวว่า “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 15 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ Smart Business Transformation มีความความมุ่งมั่น ที่จะขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ทั้งยังเปิดกว้างต่อแนวคิด และโซลูชันใหม่ๆ ซึ่งจากความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ได้รับไม่เพียงแต่จะสามารถต่อยอดการปรับเปลี่ยนธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งพร้อมรับมือต่อความท้าทายในอนาคต นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจและทิศทางธุรกิจเอสเอ็มอีของประเทศไทย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศได้ถึงร้อยละ 50 ภายในปี 2568 จากร้อยละ 36 ในปี2561”

 ‘ผลลัพธ์เชิงบวกของเอสเอ็มอีจากการเข้าร่วมโครงการนำร่องนวัตกรรมดิจิทัล

หนึ่งในเอสเอ็มอีที่ได้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ บริษัท เอ็ม.ซี.ซี. อินดัสเทรียล นิว 1999 จำกัด  (เอ็ม.ซี.ซี 4×4 แอคเซสซอรี่) ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์และผลิตอะไหล่สำหรับรถออฟโรดส์ขับเคลื่อน 4 ล้อ โดย เอ็ม.ซี.ซี. 4×4 แอคเซสซอรี่ ได้นำโชลูชัน Workforce ที่พัฒนาโดยบริษัทไทย มาใช้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล นอกจากนี้ยังได้รับทักษะการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) และสามารถนำโซลูชันทางดิจิทัลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 นางสาวชนกพร ศิระนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ บริษัท เอ็ม.ซี.ซี. อินดัสเทรียล นิว 1999 จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformationช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับเราในฐานะธุรกิจครอบครัวที่ต้องการขยายธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ตอนนี้เรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และได้เริ่มนำโซลูชันมาใช้ในการทำงานกับบริษัทคู่ค้าต่างๆ ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ผู้ให้การสนับสนุนหลักชุดแข่งนักฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นอีกหนึ่งเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ โดยวอริกซ์ได้ทำงานกับ Boostorder ผู้ให้บริการโซลูชันอีคอมเมิร์ซจากประเทศมาเลเชีย เป็นผู้พัฒนาระบบงานขายผ่านช่องทางออนไลน์

นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “โครงการ Smart Business Transformation ช่วยให้บริษัทฯ พัฒนาโครงสร้างการบริหารและปรับขนาดธุรกิจ เราได้เรียนรู้ความสำคัญของการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้โตอย่างมั่งคงและยั่งยืน นอกจากนี้เรายังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Boostorder ผู้พัฒนาโซลูชั่น ในการปรับกระบวนการหลักและช่องทางการจัดจำหน่ายให้เป็นดิจิทัล เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของยอดขายออนไลน์ 15% ภายในสิ้นปีนี”

อ่านต่อ
Share.

Comments are closed.